ข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs รายย่อย กลุ่มเกษตรกร และธุรกิจขนส่งขนาดเล็ก ที่ต้องการซื้อรถกระบะเป็นเครื่องมือทำมาหากิน หลังจากที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีมติขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ ภายใต้มาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2569 เพื่อขยายความช่วยเหลือ SMEs ที่ต้องการซื้อรถกระบะเชิงพาณิชย์ เพื่อใช้ประกอบอาชีพและต่อยอดธุรกิจ
วันที่ 10 ธันวาคม 2568 นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า ปัจจุบันมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” มีวงเงินค้ำประกันรวม 3,700 ล้านบาท มาพร้อมสิทธิประโยชน์ ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก ส่วนปีที่ 4-7 คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันต่ำเพียง 1.5% ต่อปี ของภาระหนี้ค้ำประกันในแต่ละปี พร้อมค้ำประกันสูงสุด 7 ปี หรือ 84 งวด วงเงินค้ำประกันสูงสุด 1.5 ล้านบาทต่อราย ตั้งเป้ามาตรการนี้จะช่วย “ปลดล็อก” SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ทั้งช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ซบเซาให้กลับมาคึกคัก ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
หลังจากมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ขยายเวลาค้ำประกันออกไปอีก 1 ปี ต่างได้รับเสียงตอบรับจากลีสซิ่งกลุ่มกระบะ ทั้งลีสซิ่งของค่ายรถยนต์ (Captive Finance) และลีสซิ่ง ที่เป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน บสย. ค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อผู้ให้บริการทั้งจากสถาบันการเงินและกลุ่มลีสซิ่ง รวม 8 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารเกียรตินาคินภัทร, ธนาคารทหารไทยธนชาต, ธนาคารทิสโก้, ลีสซิ่งกสิกรไทย, กรุงศรี ออโต้ และลีสซิ่ง ไอซีบีซี และกลุ่มลีสซิ่งของค่ายรถยนต์ ได้แก่ โตโยต้า ลีสซิ่ง และ ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง
นายธีรชาติ จิรจรัสพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ในนามของประธานคณะทำงานสินเชื่อรถยนต์ ภายใต้สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การต่ออายุโครงการ ‘กระบะพี่ มีคลังค้ำ’ เป็นความร่วมมือที่ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถสนับสนุน SMEs และเกษตรกรได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าถึงสินเชื่อเช่าซื้อที่เป็นหัวใจสำคัญของผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยบทบาทของ บสย.มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตของธนาคาร ทำให้ธนาคารสมาชิกสามารถปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพได้เพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้กลุ่ม SMEs กลุ่มเปราะบาง มีโอกาสในการเข้าถึงรถกระบะเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ ช่วยเสริมทั้งรายได้และศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
“คณะทำงานฯ เห็นความสำคัญของความร่วมมือกับ บสย. ในครั้งนี้ และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคการเงินในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและตลาดรถยนต์ให้เติบโตเข้มแข็ง และยั่งยืน” นายธีรชาติ กล่าว
มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด และ มร.ทาคาชิ มิยาจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง จำกัด กล่าวว่า อีซูซุขอชื่นชมและสนับสนุนมาตรการ “กระบะพี่มีคลังค้ำ” ของ บสย. ซึ่งถือเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ ช่วยให้ลูกค้าที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้อรถกระบะเชิงพาณิชย์ได้สะดวกขึ้น สร้างความเติบโตที่ยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจ SMEs และส่งผลต่อการฟื้นตัวของการผลิตและการจำหน่ายรถยนต์ และสร้างประโยชน์เพิ่มเติมให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง และเป็นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างแท้จริง
“โครงการ กระบะพี่ มีคลังค้ำ ของ บสย. ช่วยเสริมความมั่นใจให้สถาบันการเงิน เปิดโอกาสให้ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะเพื่อใช้เชิงพาณิชย์ ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีเครื่องมือสำคัญในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สร้างความเติบโตที่ยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจ SMEs” ผู้บริหาร ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ กล่าว
นางสาวชื่นกมล ทัพพะรังสี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การมี บสย. เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ จะช่วยผลักดันยอดการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ให้เติบโตขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขยายโอกาสทางธุรกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้แก่ตลาดรถยนต์โดยรวม
สำหรับ SMEs ที่ต้องการซื้อรถกระบะเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน สามารถติดต่อที่โชว์รูมรถยนต์ใกล้บ้าน และยื่นขอสินเชื่อกับลีสซิ่งทั้ง 8 แห่ง โดยใช้ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อ หรือ ลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการฯ ได้ที่ LINE OA : @tcgfirst ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
#กระบะพี่มีคลังค้ำ #กลุ่มลีสซิ่งกระบะ #สินเชื่อเอสเอ็มอี #ข่าววันนี้ #บสย












